BEAUTY เผยผลประกอบการ Q2/64 ขาดทุนลดลง 42.7%

BEAUTY เผยผลประกอบการ Q2/64 ขาดทุนลดลง 42.7%

แนวโน้มครึ่งปีหลังโควิด-19 ยังกระทบ ลุยปรับกลยุทธ์ฝ่าวิกฤต

BEAUTY เผยผลประกอบการ Q2/64 รายได้รวม 81.74 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 42.7% แนวโน้มครึ่งปีหลังยังคงได้รับผลกระทบโควิด-19 เดินหน้าตามแผน ลดต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่าย รักษาสภาพคล่องกระแสเงินสดในเกณฑ์ดี เตรียมพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่พร้อมลุยหลังโควิด-19 คลี่คลาย

นพ.สุวิน  ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (BEAUTY) ผู้นำธุรกิจค้าปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม สุขภาพและบำรุงผิวด้วยแนวคิด Live a beautiful life เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/64 บริษัทมีรายได้รวม 81.74 ล้านบาท ลดลง 36.6จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 128.93 และลดลง 40.5%จากไตรมาส 1/64 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 137.41 ล้านบาท ขาดทุนทางบัญชีสุทธิ 35.18 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 42.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนอยู่ที่ 61.36 ล้านบาทโดยสัดส่วนรายได้มาจากต่างประเทศ 21ตลาดในประเทศ 79%

ทั้งนี้ผลขาดทุนทางบัญชี 35.18 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจซึ่งเป็นการจ่ายครั้งเดียวที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (Non-routine expenses) จำนวน 21.51 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยการตั้งค่าเผื่อสินค้าเสื่อมสภาพ (Stock Provision) 14.45 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายจากการปิดสาขาที่ไม่มีประสิทธิภาพในการทำกำไร 5.69 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายชดเชยพนักงานจากการปรับฐานกำลังคน 1.37 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทมีผลประกอบการจากการดำเนินงานในไตรมาส ขาดทุนอยู่ที่ 13.67 ล้านบาท 

สาเหตุที่ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวลดลง เนื่องจากทุกช่องทางการจำหน่ายของบริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ี่ระบาดมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยตลาดในประเทศ ช่องทางร้านค้าปลีกยอดขายลดลงเนื่อง ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยลดลง จำนวนลูกค้าในห้างน้อยลงอย่างมาก นักท่องเที่ยวลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เพื่อลดผลกระทบดังกล่าวบริษัทดำเนินการปิดสาขาร้านค้าปลีกที่ไม่มีประสิทธิภาพในการทำกำไรและได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ลงจำนวน 62 สาขา จากต้นปี 64 มีสาขา 113 สาขาซึ่งทำให้ปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 51 สาขา ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ลดลง เช่น ค่าเช่าร้านค้า ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขายลดลง

สำหรับช่องทางสินค้าอุปโภค (consumer product ) ไม่ว่าจะเป็น โมเดิร์นเทรด เจอร์เนอร์รัลเทรด ได้รับผลกระทบทั้ง supply chain ความคล่องตัวในการติดต่อประสานงาน การเจรจาทางการค้าลดลง ส่งผลให้การกระจายสินค้าไปถึงผู้บริโภคล่าช้าอย่างมาก ประกอบกับผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยลดลงเพราะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เช่นกัน สำหรับตลาดต่างประเทศทั้ง 11 ประเทศ ได้รับผลกระทบทั้งหมดโดยเฉพาะตลาดจีน กลุ่มลูกค้าในประเทศจีนเปลี่ยนพฤติกรรมซื้อสินค้าออนไลน์ที่เป็นสินค้าจีนมากขึ้น ตามนโยบายของรัฐบาลจีนที่ส่งเสริมให้คนในประเทศใช้สินค้าแบรนด์จีน และเข้มงวดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศมากขึ้น ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบการท่องเที่ยวต่างประเทศ ทำให้ความนิยมในสินค้าในต่างประเทศลดลง ซึ่งทำให้ตัวแทนจำหน่ายของบริษัทต้องกลับมาทำการตลาดใหม่อีกครั้ง

ขณะที่ ผลประกอบการครึ่งปีแรก 64 บริษัทมีรายได้รวม 219.15 ล้านบาท ลดลง 45.1จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 399.25 ล้านบาทและมีขาดทุนทางบัญชีสุทธิ  50.31 ล้านบาท ขาดทุนลดลง  50.2 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนอยู่ที่ 101.04 ล้านบาทสำหรับผลขาดทุนที่ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากการลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยครึ่งปีแรกมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 164.59 ล้านบาท ลดลง 49.4จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 325.15 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายปรับโครงสร้างธุรกิจลดต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่าย  

ภาพรวมของอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 31.9% ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 51.3% เนื่องจากมีการตั้งค่าเผื่อสินค้าเสื่อมสภาพ (Stock Provision) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (onetime expense) จำนวน 14.45 ล้านบาท แต่ถ้าหากไม่นับ Stock Provision อัตรากำไรขั้นต้น จะอยู่ในระดับปกติที่ 52%  สาเหตุที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลง มาจากการชะลอตัวของยอดขายช่วงภาวะโรคระบาดรุนแรงต่อเนื่องเกือบ ปี      ที่ผ่านมาทำให้สินค้าระบายออกช้าทุกช่องทางทั้งในประเทศและต่างประเทศและสินค้าบางส่วนหมดอายุ บริษัทต้องตั้งค่าเผื่อสินค้าเสื่อมสภาพเพื่อเน้นนโยบายที่จะรักษาคุณภาพของสินค้าทุกๆด้าน ให้สินค้าทุกชิ้นมีคุณภาพสูงก่อนที่จะถูกส่งออกไปจำหน่ายให้กับลูกค้าทุกช่องทาง

นายแพทย์สุวิน กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง คาดว่าระบบการค้าทั้งประเทศยังคงได้รัผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และยังไม่มีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะกลับมาดีขึ้นเมื่อใด ดังนั้นบริษัทจะต้องปรับตัวทั้งรูปแบบธุรกิจและกำหนดกลยุทธ์ใน ด้านหลักเพื่อรับมือวิกฤตดังกล่าว ประกอบด้วย 1. ปรับโครงสร้างบริหารจัดการ เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ (Re-structure) 2. พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ (Re-model) 3. ขยายช่องทางการจำหน่ายที่มีการขยายตัวสูง (Re-new) มุ่งเน้นขยายช่องทางการจำหน่ายที่มีโอกาสขยายตัว สามารถเข้าถึงฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะการเปิดสาขาร้านค้าปลีก เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากฐานลูกค้าในประเทศ และสามารถสร้างตลาดที่ครอบคลุมในระยะยาว ประกอบด้วย

ช่องทางสินค้าอุปโภค (Consumer Product)กลุ่มสินค้า Fast Moving Consumer Goods ( FMCG ) ผ่านผู้ค้าส่งเครื่องสำอางรายใหญ่ในแต่ละภูมิภาค (Local Distributor) โดยมีแผนแต่งตั้ง Distributor รายใหญ่ รายที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ ปัจจุบันแต่งตั้งเรียบร้อยแล้วจำนวน ราย ครอบคลุมพื้นที่ เขต 49 จังหวัด โดยตั้งเป้าวางจำหน่าย 16,696 ร้านค้าให้แล้วเสร็จในปีนี้ วางเป้าหมายยอดขาย เป็นสัดส่วน 9.2 % ของรายได้รวม ซึ่งขณะนี้มีสัดส่วน 4.2จากเดิมที่  1.1 % 

ช่องทางอีคอมเมิร์ซ( E-Commerce) เพิ่มความสามารถการนำเสนอสินค้า โดยสามารถซื้อขายผ่านเว็บไซต์ของบริษัทและระบบแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ ( Market Place Platform ) ชั้นนำต่างๆ อาทิ Lazada, Shopee, Konvy รวมทั้งพัฒนาและบริหารจัดการโครงสร้างระบบอีคอมเมิร์ซให้มีประสิทธิภาพ โดยในปีนี้วางเป้าหมายผลักดันยอดขายเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 12.5 % ของรายได้รวม จากเดิมอยู่ที่ 4.5 % โดยปัจจุบันสร้างสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 14.5%

นอกจากนี้ บริษัทได้เริ่มนำกลยุทธ์สร้างพันธมิตร Alliance Strategy มาปรับใช้เพื่อสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ แม้ในช่วงสถานการณ์โควิดจะได้รับผลกระทบ แต่ก็เป็นช่วงที่บริษัทมีการเตรียมการประกาศหาพันธมิตรสร้างความร่วมมือทางธุรกิจแบบเปิดกว้างสำหรับบุคคลทั่วไป อาทิ แม่ค้าออนไลน์ Influencer blogger you-tuber ห้าง ร้าน บริษัท เพื่อร่วมกันพัฒนาสินค้าและช่องทางการจำหน่าย สำหรับสินค้าหมวด Health & Beauty เช่น อาหารเสริม สมุนไพร อาหารเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ และสินค้าหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่ กลุ่ม Health & Beauty โดยบริษัทมีนโยบายเปิดรับความคิดใหม่ๆ แบบไม่จำกัดรูปแบบและวิธีการ เพื่อสร้างความร่วมมือทั้งผลิตร่วม จำหน่ายร่วม ตัวแทนจำหน่าย 

สำหรับสินค้าใหม่ยังมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง  โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2564 บริษัทได้ออกสินค้าใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 14 Items 14 SKUs เพื่อช่วยผลักดันยอดขาย และในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนออกสินค้าใหม่ต่อเนื่องเพิ่มอีก 16 Items 16SKUs  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าขนาดเล็ก (sachetเพื่อจำหน่ายในช่องทางสินค้าอุปโภค (consumer product)

แนวโน้มตลาดต่างประเทศในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 ในประเทศจีนคาดว่าคำสั่งซื้อมีแนวโน้มการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป เข้าสู่ช่วงเทศกาลโปรโมชั่น 11 เดือน 11 รวมทั้งยังมีการพัฒนาโมเดลการขายในต่างประเทศใหม่ “Product License” เพื่อความสะดวกในการพัฒนาสินค้าใหม่ และการบริหารจัดการในประเทศจีน โดยมีแผนแต่งตั้งตัวแทน License Product อีก ราย  สำหรับสินค้าทั้งหมด 10 SKUs คาดว่าจะแต่งตั้งแล้วเสร็จภายใน  ไตรมาส อีกทั้งบริษัทมีแผนแต่งตั้ง บริษัท เวิร์คสมาร์ท เพลย์ฮาร์ดเดอร์ จำกัด (WSPD) เพื่อเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้า BEAUTY BUFFET และ BEAUTY COTTAGE ในรูปเเบบ Shop License แต่เพียงผู้เดียวในประเทศกัมพูชา

ในปีนี้บริษัทมุ่งเน้นการปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่าย รักษาสภาพคล่องกระแสเงินสดในเกณฑ์ดี เพื่อรองรับสถานการณ์และสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป และเตรียมพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ คาดว่าหากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มปรับตัวดีขึ้น โครงสร้างธุรกิจใหม่และแผนงานที่เตรียมไว้จะส่งผลดีกับผลประกอบการของบริษัทในอนาคต นายแพทย์สุวิน กล่าว